31 ธ.ค. 2563

การเริ่มเรียน Blockchain ควรเริ่มต้อนอย่างไร

การเริ่มเรียน Blockchain ควรเริ่มจากพื้นฐานดังนี้:

1. ทำความเข้าใจพื้นฐาน

  • Blockchain คืออะไร: ระบบบัญชีแยกประเภทที่กระจายศูนย์
  • Decentralization (การกระจายศูนย์): แตกต่างจากระบบทั่วไปที่มีศูนย์กลาง
  • Cryptography (การเข้ารหัส): การรักษาความปลอดภัยข้อมูล
  • Consensus Mechanisms: วิธีที่เครือข่ายยืนยันธุรกรรม เช่น Proof of Work (PoW), Proof of Stake (PoS)

2. ศึกษาโครงสร้าง Blockchain

  • Block & Chain: บล็อกแต่ละอันเก็บธุรกรรมและเชื่อมโยงกัน
  • Hash Function: การเข้ารหัสข้อมูลให้ปลอดภัย
  • Smart Contracts: โปรแกรมอัตโนมัติบน Blockchain (เช่น บน Ethereum)

3. ทดลองใช้งาน

  • ลองสร้าง Wallet และโอนเหรียญคริปโต (เช่น Bitcoin, Ethereum)
  • ใช้ Block Explorer ดูธุรกรรม เช่น Etherscan

4. ศึกษาการพัฒนา Blockchain

ถ้าสนใจพัฒนา ลองศึกษา

  • Solidity: ภาษาสำหรับเขียน Smart Contract บน Ethereum
  • Hyperledger Fabric: ระบบ Blockchain สำหรับธุรกิจ
  • การพัฒนา DApp (Decentralized Application) ด้วย Web3.js และ Hardhat


การลงทุน, การพัฒนา และ การใช้งาน Blockchain?

1. การลงทุนใน Blockchain & Cryptocurrency

  • ศึกษาเหรียญหลัก เช่น Bitcoin (BTC), Ethereum (ETH), และ Altcoins อื่นๆ
  • เข้าใจปัจจัยที่มีผลต่อราคา เช่น ข่าว, การพัฒนาเทคโนโลยี, และเศรษฐกิจโลก
  • เรียนรู้การวิเคราะห์กราฟ (Technical Analysis - TA) และปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis - FA)
  • รู้จักแพลตฟอร์มซื้อขาย เช่น Binance, Coinbase, Bitkub
  • ทำความเข้าใจความเสี่ยง และแนวทางบริหารพอร์ตลงทุน

2. การพัฒนา Blockchain & Smart Contracts

  • เรียนรู้ Solidity เพื่อพัฒนา Smart Contracts บน Ethereum
  • ศึกษา Web3.js หรือ ethers.js สำหรับเชื่อมต่อ Smart Contract กับเว็บแอป
  • ลองใช้เครื่องมือพัฒนา เช่น Hardhat, Truffle, Remix IDE
  • เข้าใจโครงสร้าง Blockchain Layer 1 & Layer 2 เช่น Ethereum, Solana, Polygon
  • ศึกษาการสร้าง DApp (Decentralized Application) เช่น กระเป๋าเงินคริปโต, ระบบแลกเปลี่ยนโทเค็น

3. การใช้งาน Blockchain ในชีวิตจริง

  • ทำความเข้าใจ NFT (Non-Fungible Tokens) และแพลตฟอร์มซื้อขาย เช่น OpenSea
  • เรียนรู้ DeFi (Decentralized Finance) เช่น การฝาก-กู้เงินแบบไร้ตัวกลาง (Aave, Compound)
  • ทดลองใช้ Wallet เช่น MetaMask, Trust Wallet
  • ศึกษาการใช้ Smart Contracts ในธุรกิจ เช่น Supply Chain, Digital Identity


การลงทุนใน Blockchain และ Cryptocurrency มีหลายแนวทาง นี่คือสิ่งที่ควรเรียนรู้:

1. พื้นฐานการลงทุนในคริปโต

  • Cryptocurrency คืออะไร: ศึกษาเหรียญหลัก เช่น Bitcoin (BTC), Ethereum (ETH)
  • On-Chain vs Off-Chain: การซื้อขายบน Blockchain และนอก Blockchain
  • Stablecoins: เหรียญที่มีมูลค่าคงที่ เช่น USDT, USDC
  • ความแตกต่างระหว่างเหรียญและโทเค็น: Layer 1 (เช่น Ethereum, Solana) vs ERC-20 Tokens

2. ประเภทการลงทุน

  • HODL (ถือระยะยาว): ซื้อและถือไว้ เช่น Bitcoin, Ethereum
  • เทรดรายวัน (Day Trading): ซื้อขายตามกราฟและแนวโน้ม
  • DeFi (Decentralized Finance): การฝากกู้เงินผ่านแพลตฟอร์ม เช่น Aave, Compound
  • Staking & Yield Farming: ฝากเหรียญเพื่อรับดอกเบี้ย
  • ICO/IDO (Initial Coin Offering): ลงทุนในโปรเจกต์ใหม่ (ความเสี่ยงสูง)

3. การวิเคราะห์ก่อนลงทุน

  • Fundamental Analysis (FA): ศึกษาโปรเจกต์, ทีมงาน, Roadmap
  • Technical Analysis (TA): อ่านกราฟ, แนวรับแนวต้าน, Indicator เช่น RSI, MACD
  • On-Chain Analysis: ดูธุรกรรมบน Blockchain ผ่าน Glassnode, Nansen

4. ความเสี่ยงและการจัดการพอร์ต

  • การกระจายความเสี่ยง (Diversification): อย่าลงทุนในเหรียญเดียว
  • Risk Management: ตั้ง Stop-Loss เพื่อลดความเสี่ยง
  • Security: ใช้ Hardware Wallet เช่น Ledger, Trezor ป้องกันแฮ็ก


พื้นฐาน, การวิเคราะห์, หรือกลยุทธ์การลงทุน?

มาลุยกันทีละขั้นตอน!

1. พื้นฐานการลงทุนใน Blockchain

Cryptocurrency คืออะไร: เหรียญดิจิทัลที่ทำงานบน Blockchain
Bitcoin vs Altcoins: BTC เป็น Store of Value ส่วน Altcoins เช่น ETH, SOL มีฟีเจอร์เฉพาะ
Stablecoins: เช่น USDT, USDC ใช้เพื่อลดความผันผวน
Exchange (กระดานเทรด): ศึกษาแพลตฟอร์ม เช่น Binance, Coinbase, Bitkub
กระเป๋าเงินคริปโต: MetaMask, Trust Wallet, Ledger (Hardware Wallet)

2. การวิเคราะห์ก่อนลงทุน

📊 Fundamental Analysis (FA)

  • ศึกษา Whitepaper, ทีมพัฒนา, Roadmap
  • ตรวจสอบ Use Case ว่าโปรเจกต์มีคุณค่าไหม
  • เช็ก On-Chain Data เช่น ปริมาณธุรกรรม, กระเป๋าวาฬ

📈 Technical Analysis (TA)

  • ศึกษาแนวโน้มราคา (Trend) และแนวรับแนวต้าน (Support & Resistance)
  • ใช้ Indicator เช่น RSI, MACD, Moving Averages
  • วิเคราะห์รูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns) เช่น Doji, Hammer

3. กลยุทธ์การลงทุน

💰 HODL (ถือระยะยาว): เหมาะกับ BTC, ETH ที่มีแนวโน้มเติบโต
📉 DCA (Dollar-Cost Averaging): ทยอยซื้อเพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวน
Swing Trading: ซื้อเมื่อราคาลง ขายเมื่อราคาขึ้น
🌾 DeFi & Staking: ฝากเหรียญรับดอกเบี้ย เช่น บน Aave, Lido


เริ่มต้นเรียนรู้ Technical Analysis (TA) สำหรับคริปโต

📌 1. พื้นฐานของ TA
✅ TA คือการวิเคราะห์ราคาโดยใช้กราฟ และพฤติกรรมตลาด
✅ ใช้ได้กับทุกสินทรัพย์ที่มีกราฟ เช่น คริปโต หุ้น ฟอเร็กซ์
✅ หลักการสำคัญ: แนวโน้มราคา (Trends), แนวรับแนวต้าน (Support & Resistance), และ Indicator

📌 2. แนวโน้มราคา (Trends)
🔹 Uptrend (ขาขึ้น): ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ตลอด (Higher High, Higher Low)
🔹 Downtrend (ขาลง): ราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ตลอด (Lower High, Lower Low)
🔹 Sideway (ไซด์เวย์): ราคาแกว่งในกรอบ ไม่ขึ้นไม่ลงชัดเจน

📌 3. แนวรับ-แนวต้าน (Support & Resistance)
🔸 แนวรับ (Support): จุดที่ราคามักหยุดลงและดีดกลับขึ้น
🔸 แนวต้าน (Resistance): จุดที่ราคามักหยุดขึ้นและเด้งลง
🔸 Breakout: ถ้าราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้าน อาจเกิดเทรนด์ใหม่

📌 4. Indicator สำคัญ
📊 Moving Averages (MA): เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ใช้ดูแนวโน้ม
📊 RSI (Relative Strength Index): บอกว่าตลาดอยู่ในโซนซื้อมากไป (Overbought) หรือขายมากไป (Oversold)
📊 MACD (Moving Average Convergence Divergence): ใช้ดูแรงโมเมนตัมของตลาด
📊 Bollinger Bands: ใช้วัดความผันผวนของราคา

📌 5. รูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns)
🕯️ Doji: สัญญาณลังเล อาจกลับตัว
🕯️ Hammer: สัญญาณกลับตัวขาขึ้น
🕯️ Engulfing: บอกแนวโน้มเปลี่ยนขาขึ้นหรือขาลง


🔥 ขั้นต่อไป:

เริ่มต้นการอ่านกราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart)

กราฟแท่งเทียนใช้แสดงการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาหนึ่งๆ เช่น 1 นาที, 1 ชั่วโมง, 1 วัน

🟢 แท่งเขียว (Bullish Candle) → ราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด (ขาขึ้น)
🔴 แท่งแดง (Bearish Candle) → ราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด (ขาลง)

ส่วนประกอบของแท่งเทียน

  • Body (ตัวแท่งเทียน) → ส่วนที่แสดงช่วงราคาเปิด-ปิด
  • Wick (ไส้เทียน หรือ Shadow) → แสดงราคาสูงสุดและต่ำสุดของช่วงเวลานั้น

รูปแบบแท่งเทียนที่สำคัญ

  1. Doji → ตลาดลังเล อาจกลับตัว
  2. Hammer → สัญญาณกลับตัวขึ้น (ถ้าพบในแนวรับ)
  3. Engulfing → สัญญาณเปลี่ยนแนวโน้ม (Bullish / Bearish)
  4. Shooting Star → สัญญาณกลับตัวลง

การใช้ MACD และ RSI Indicator

📌 1. MACD (Moving Average Convergence Divergence)
ใช้ดูโมเมนตัม (Momentum) ของตลาด

🔹 ส่วนประกอบของ MACD

  • MACD Line (เส้นสีฟ้า) → คำนวณจากค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
  • Signal Line (เส้นสีส้ม) → ใช้เป็นสัญญาณซื้อขาย
  • Histogram (แท่งสีเขียว/แดง) → แสดงความแรงของแนวโน้ม

🔹 การใช้งาน
MACD Line ตัดขึ้นเหนือ Signal Line → สัญญาณซื้อ (Bullish)
MACD Line ตัดลงต่ำกว่า Signal Line → สัญญาณขาย (Bearish)
Histogram ยาวขึ้น → แรงซื้อ/ขายเพิ่มขึ้น

📌 2. RSI (Relative Strength Index)
ใช้วัดความแข็งแรงของแนวโน้ม และภาวะ Overbought/Oversold

🔹 ค่า RSI อยู่ระหว่าง 0-100
✅ RSI > 70 → ตลาดอยู่ในโซน Overbought (อาจเกิดแรงขาย)
✅ RSI < 30 → ตลาดอยู่ในโซน Oversold (อาจเกิดแรงซื้อ)

🔹 การใช้งาน
RSI ขึ้นจากต่ำกว่า 30 → เป็นสัญญาณซื้อ
RSI ลดลงจากสูงกว่า 70 → เป็นสัญญาณขาย
Divergence (ความขัดแย้งระหว่างราคาและ RSI)

  • Bullish Divergence → RSI ขึ้น แต่ราคาลง → มีโอกาสกลับตัวขึ้น
  • Bearish Divergence → RSI ลง แต่ราคาขึ้น → มีโอกาสกลับตัวลง


🔥 ขั้นต่อไป:

เริ่มต้นใช้งาน TradingView สำหรับการวิเคราะห์กราฟ

1. การใช้งานพื้นฐานของ TradingView

✅ สมัครบัญชีที่ TradingView
✅ เลือกสินทรัพย์ที่ต้องการวิเคราะห์ เช่น BTC/USDT
✅ ปรับ Timeframe เช่น 1H, 4H, 1D ตามสไตล์การเทรด

2. การอ่านกราฟแท่งเทียนใน TradingView

🔹 เปิดกราฟและเลือก Candlestick Chart
🔹 ใช้เครื่องมือวาดแนวรับ-แนวต้าน (Support & Resistance)
🔹 สังเกตรูปแบบแท่งเทียน เช่น Hammer, Doji, Engulfing

3. การเพิ่ม Indicator MACD & RSI

✅ คลิก "Indicators" แล้วค้นหา MACD และ RSI
MACD → ดูเส้น MACD & Signal Line + Histogram
RSI → ดูค่า RSI >70 (Overbought) หรือ <30 (Oversold)

4. การวิเคราะห์เทรนด์ร่วมกับ Indicator

📉 MACD ตัดลง + RSI ลดลง → แนวโน้มขาลง (Bearish)
📈 MACD ตัดขึ้น + RSI ขึ้น → แนวโน้มขาขึ้น (Bullish)
Divergence ระหว่างราคาและ RSI → อาจเป็นสัญญาณกลับตัว



🔥 ขั้นต่อไป:

การตั้งค่าและกลยุทธ์การใช้งาน MACD & RSI บน TradingView

1. การตั้งค่า MACD ที่แนะนำ

📌 ไปที่ Indicators > ค้นหา MACD แล้วเพิ่มลงในกราฟ
📌 ค่าเริ่มต้นของ MACD:

  • Fast Length = 12
  • Slow Length = 26
  • Signal Smoothing = 9

📌 การใช้งาน MACD
MACD Line ตัดขึ้นเหนือ Signal Line → สัญญาณซื้อ (Bullish)
MACD Line ตัดลงต่ำกว่า Signal Line → สัญญาณขาย (Bearish)
ดู Histogram: ถ้าแท่งเขียวสูงขึ้น → โมเมนตัมขาขึ้นแรง

📌 กลยุทธ์

  • ใช้ร่วมกับแนวรับ-แนวต้าน
  • ถ้า MACD ตัดขึ้นที่แนวรับ → โอกาสเด้งขึ้นสูง
  • ถ้า MACD ตัดลงที่แนวต้าน → โอกาสร่วงสูง

2. การตั้งค่า RSI ที่แนะนำ

📌 ไปที่ Indicators > ค้นหา RSI แล้วเพิ่มลงในกราฟ
📌 ค่าเริ่มต้นของ RSI = 14

📌 การใช้งาน RSI
✅ RSI > 70 → Overbought (ราคาขึ้นแรง อาจมีแรงขาย)
✅ RSI < 30 → Oversold (ราคาลงแรง อาจมีแรงซื้อ)
Divergence

  • Bullish Divergence: RSI ทำจุดต่ำสูงขึ้น แต่ราคาลง → สัญญาณกลับตัวขึ้น
  • Bearish Divergence: RSI ทำจุดสูงต่ำลง แต่ราคาขึ้น → สัญญาณกลับตัวลง

📌 กลยุทธ์

  • ถ้า RSI ต่ำกว่า 30 และเริ่มเด้งขึ้น → อาจเป็นจังหวะซื้อ
  • ถ้า RSI สูงกว่า 70 และเริ่มลดลง → อาจเป็นจังหวะขาย
  • ใช้ร่วมกับแนวรับ-แนวต้าน และ MACD เพื่อเพิ่มความแม่นยำ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

การประมวลแนวทางปฏิบัติ และกรอบมาตรฐาน มาตรฐานขั้นต่ำ และแบบตรวจประเมินแนวทางปฏิบัติด้าน Cyber Security ของหน่วยงาน CII

การประมวลแนวทางปฏิบัติและกรอบมาตรฐานด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cyber Security) สำหรับหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ (Cr...