ถ้าจะเริ่มเรียน AI มีหลายแนวทางให้เลือก ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของคุณ เช่น
- Machine Learning (ML) – ถ้าสนใจให้ AI วิเคราะห์ข้อมูล คาดการณ์แนวโน้ม หรือสร้างโมเดลเพื่อใช้ในงานต่าง ๆ
- Deep Learning (DL) – ถ้าสนใจพัฒนา AI ที่ใช้ Neural Networks เช่น ระบบแยกแยะภาพ วิดีโอ หรือเสียง
- Natural Language Processing (NLP) – ถ้าสนใจให้ AI วิเคราะห์และเข้าใจภาษา เช่น Chatbot หรือการสรุปข้อความ
- Computer Vision – ถ้าสนใจให้ AI วิเคราะห์ภาพและวิดีโอ เช่น การตรวจจับวัตถุ
เริ่มต้นยังไงดี?
- Python – ภาษาหลักที่ใช้ใน AI ควรเริ่มเรียน Python ถ้ายังไม่เคยเขียน
- คณิตศาสตร์พื้นฐาน – ถ้าอยากเข้าใจแนวคิด AI ควรรู้เรื่องพีชคณิตเชิงเส้น (Linear Algebra), สถิติ, ความน่าจะเป็น
- Frameworks สำคัญ – เช่น TensorFlow, PyTorch สำหรับ ML/DL
- ลองทำโปรเจกต์จริง – ฝึกฝนด้วยโปรเจกต์เล็ก ๆ เช่น การทำนายข้อมูล การรู้จำภาพ หรือ Chatbot
คุณสนใจแนวไหนของ AI เป็นพิเศษ หรืออยากเริ่มจากพื้นฐานทั่วไปก่อน?
ถ้าจะเริ่มจากพื้นฐานทั่วไป คุณสามารถเรียนตามลำดับนี้ได้:
1. พื้นฐาน Python
AI ส่วนใหญ่ใช้ Python เป็นหลัก ควรรู้จัก:
- ตัวแปร, ลูป, เงื่อนไข (if-else), ฟังก์ชัน
- การจัดการไฟล์, การดึงข้อมูลจาก API
- การใช้ไลบรารีเบื้องต้น เช่น NumPy, Pandas, Matplotlib
2. คณิตศาสตร์พื้นฐานสำหรับ AI
- พีชคณิตเชิงเส้น (Linear Algebra) → เมทริกซ์, เวกเตอร์
- สถิติและความน่าจะเป็น → ค่าเฉลี่ย, ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน, การแจกแจงข้อมูล
3. พื้นฐาน Machine Learning (ML)
- การเรียนรู้แบบมีผู้สอน (Supervised Learning) → เช่น การจำแนกประเภท (Classification), การพยากรณ์ (Regression)
- การเรียนรู้แบบไม่มีผู้สอน (Unsupervised Learning) → เช่น การจัดกลุ่ม (Clustering)
- การใช้ไลบรารี scikit-learn
4. ทดลองทำโปรเจกต์ง่าย ๆ
- ใช้ Jupyter Notebook ลองโหลดชุดข้อมูลจาก Kaggle มาวิเคราะห์
- ทดลองใช้โมเดลสำเร็จรูป เช่น การทำนายราคาบ้าน หรือการวิเคราะห์ข้อความ
ถ้ายังไม่เคยเขียนโค้ดมาก่อน ควรเริ่มจาก Python ก่อน สนใจให้แนะนำคอร์สหรือแหล่งเรียนรู้ไหม?
ประวัติของ AI (Artificial Intelligence)
ยุคเริ่มต้น (1950s - 1970s) – การกำเนิดแนวคิด AI
- 1950: Alan Turing เสนอ "Turing Test" ซึ่งเป็นแนวคิดว่าเครื่องจักรสามารถคิดได้หรือไม่
- 1956: John McCarthy จัดงานประชุม Dartmouth Conference และเสนอคำว่า "Artificial Intelligence"
- 1960s - 1970s: มีการพัฒนา Expert Systems ซึ่งเป็นระบบ AI ที่ใช้กฎตรรกะเพื่อแก้ปัญหา
ยุคมืดของ AI (1970s - 1980s) – AI Winter
- ระบบ AI มีข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์และข้อมูล ทำให้เกิดช่วง AI Winter ซึ่งเป็นช่วงที่เงินทุนและความสนใจใน AI ลดลง
ยุคฟื้นตัว (1980s - 1990s) – การกลับมาของ AI
- นักวิจัยพัฒนา Neural Networks ใหม่ โดยใช้ Backpropagation Algorithm
- AI ถูกนำไปใช้ในธุรกิจ เช่น ระบบแนะนำสินค้า และการวิเคราะห์ข้อมูล
ยุคทองของ AI (2000s - ปัจจุบัน) – Deep Learning และ AI ยุคใหม่
- 2012: การพัฒนา Deep Learning โดย AlexNet ทำให้ AI มีความสามารถสูงขึ้นในด้านการรู้จำภาพ
- 2016: AlphaGo ของ Google เอาชนะนักเล่นโกะมืออาชีพ
- 2020s: AI ถูกนำไปใช้ในทุกวงการ เช่น Chatbots, การแพทย์, การเงิน, และยานยนต์ไร้คนขับ
ปัจจุบัน AI กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในด้าน Generative AI เช่น ChatGPT, DALL·E และ Midjourney ที่สามารถสร้างข้อความและภาพได้เอง
คุณสนใจส่วนไหนของประวัติ AI เป็นพิเศษไหม?
ประเภทของ AI
AI สามารถแบ่งออกเป็น 3 ระดับหลัก ๆ ตามความสามารถ และ 4 ประเภทตามแนวทางการทำงาน
3 ระดับของ AI ตามความสามารถ
Artificial Narrow Intelligence (ANI) – AI เฉพาะทาง
- เป็น AI ที่สามารถทำงานได้เฉพาะด้าน เช่น การแปลภาษา, ระบบแนะนำสินค้า, Chatbot
- ตัวอย่าง: Siri, Google Assistant, AlphaGo
Artificial General Intelligence (AGI) – AI ระดับมนุษย์
- เป็น AI ที่สามารถคิด วิเคราะห์ และแก้ปัญหาได้เหมือนมนุษย์
- ปัจจุบันยังไม่มี AGI ที่แท้จริง แต่เป็นเป้าหมายของการพัฒนา AI
Artificial Super Intelligence (ASI) – AI เหนือมนุษย์
- เป็น AI ที่มีความสามารถเหนือมนุษย์ในทุกด้าน
- เป็นแนวคิดในอนาคตที่ยังอยู่ในขั้นทฤษฎี
4 ประเภทของ AI ตามแนวทางการทำงาน
Reactive Machines – AI ตอบสนองเท่านั้น
- ไม่มีหน่วยความจำ จำสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ ตอบสนองตามข้อมูลที่ได้รับเท่านั้น
- ตัวอย่าง: Deep Blue (AI เล่นหมากรุกของ IBM), AI ที่ใช้ในการแยกประเภทภาพ
Limited Memory – AI มีหน่วยความจำจำกัด
- สามารถเรียนรู้จากข้อมูลในอดีตได้ แต่ไม่มีการคิดหรือรับรู้ตัวเอง
- ตัวอย่าง: ระบบขับรถอัตโนมัติ, AI ที่ใช้ในธุรกิจ
Theory of Mind – AI ที่เข้าใจอารมณ์และสังคม
- สามารถเข้าใจอารมณ์ ความตั้งใจ และการมีปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์
- ยังอยู่ในช่วงวิจัยและพัฒนา
Self-Aware AI – AI ที่มีจิตสำนึกตัวเอง
- เป็น AI ที่สามารถรับรู้ตัวเอง มีความคิดเป็นของตัวเอง
- ยังเป็นแนวคิดในอนาคต
ตอนนี้ AI ส่วนใหญ่ที่เราใช้ยังเป็นระดับ ANI และประเภท Limited Memory เช่น ChatGPT หรือ AI แนะนำสินค้า คุณสนใจประเภทไหนเป็นพิเศษไหม?
ChatGPT
ChatGPT เป็น AI ที่อยู่ในประเภท Artificial Narrow Intelligence (ANI) หรือ AI เฉพาะทาง ซึ่งออกแบบมาเพื่อทำงานในด้านการเข้าใจและสร้างข้อความตามคำถามหรือคำขอของผู้ใช้ โดยใช้เทคโนโลยี Natural Language Processing (NLP) ที่ช่วยให้ AI เข้าใจภาษาและโต้ตอบได้เหมือนมนุษย์
ลักษณะของ ChatGPT:
- การเข้าใจและตอบคำถาม: ChatGPT สามารถเข้าใจคำถามหรือข้อความจากผู้ใช้และตอบกลับอย่างเหมาะสม
- การสร้างเนื้อหา: AI สามารถสร้างบทความ, ข้อความ, หรือคำตอบในหลากหลายหัวข้อ
- การสนทนา: ใช้ใน Chatbot หรือระบบสนทนาอัตโนมัติ เช่น ระบบช่วยลูกค้าหรือที่ปรึกษาออนไลน์
- การแปลภาษา: AI สามารถแปลภาษาต่าง ๆ ได้ในหลายภาษา
- ความเข้าใจทางสังคม: แม้จะเป็น AI แต่ยังสามารถเรียนรู้และจำลองท่าทางการพูดคุยของมนุษย์ได้ในบางสถานการณ์
เทคโนโลยีที่ใช้ใน ChatGPT:
- Transformer Models: โครงสร้างที่ทำให้ AI เข้าใจและจัดการกับข้อความได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น GPT (Generative Pretrained Transformer) ซึ่งถูกฝึกให้สามารถสร้างข้อความที่สมจริง
- Deep Learning: การใช้เครือข่ายประสาทเทียมที่ซับซ้อนในการเรียนรู้จากข้อมูลจำนวนมหาศาลเพื่อพัฒนาความสามารถในการเข้าใจและตอบสนอง
ChatGPT และโมเดลอื่นๆ ของ OpenAI มุ่งเน้นการพัฒนาเพื่อให้สามารถทำงานในลักษณะที่ใกล้เคียงกับการสนทนาของมนุษย์ โดยสามารถทำงานได้ในหลายบริบท เช่น การศึกษาภาษา, การบริการลูกค้า, หรือแม้กระทั่งการสร้างงานศิลปะ (เช่น การสร้างเนื้อหาหรือข้อความที่มีสไตล์เฉพาะ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น