Netflix มีรายการอะไรให้ดูบ้าง ?
ใน Netflix มีทั้งหนัง และ TV Series จะมี US Series ให้คุณดูทั้งชีวิตก็ไม่หมด (จริงๆ นะ มันเยอะมาก) อาทิเช่น Lost, How I met your mother, Futurama, the Walking Dead และ อะไรที่มันดังๆ แต่ว่าบางเรื่องก็ไม่มีนะครับ ที่เป็น Series ของ HBO เช่น Game of Thrones หรือ The Pacific แต่แค่เดือนละ 240 บาทมันถูกมากครับ
ย้อนตำนาน Netflix
เมื่อพูดถึง “การเช่าวิดีโอ” เราทุกคนคงนึกถึงการเปิดร้านค้าในย่านชุมชนที่คนพลุกพล่าน ในร้านมีกล่องวิดีโอ (ซึ่งพัฒนามาเป็นกล่องวีซีดี ดีวีดี และบลูเรย์ ในยุคต่อๆ มา) วางเรียงกันเป็นจำนวนมากมาย ลูกค้าจะต้องเดินมาเลือกวิดีโอที่ร้านเพื่อกลับไปดูที่บ้าน และนำกลับมาคืนเพื่อเช่าวิดีโอเรื่องถัดไปในสหรัฐอเมริกา ร้านเช่าวิดีโอรายใหญ่คือ Blockbuster ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1985 และครองความยิ่งใหญ่ของโลกบันเทิงในบ้านมาตลอดทศวรรษ 90s
ส่วน Netflix ก่อตั้งในอีกสิบปีให้หลังคือปี 1997 และสร้างความแตกต่างจากการ “เช่าวิดีโอแนวใหม่” ผ่านไปรษณีย์!!
แนวคิดของ Netflix คือไม่มีหน้าร้านสำหรับเช่าวิดีโอ ลูกค้าต้องจ่ายค่าสมาชิกรายเดือนในราคาคงที่ และจะได้รับแคตาล็อกวิดีโอใหม่ส่งถึงบ้านทุกเดือน (ภายหลังพัฒนามาเป็นเลือกวิดีโอผ่านเว็บไซต์) และคูปองสำหรับเลือกวิดีโอที่ต้องการจะเช่า เมื่อเลือกแล้วก็ส่งคูปองกลับไปยัง Netflix ทางไปรษณีย์ (Netflix ออกค่าใช้จ่ายด้านไปรษณีย์ให้ทั้งหมด) จากนั้นอีกไม่นานก็จะได้วิดีโอกลับมาทางไปรษณีย์เช่นกัน
ลูกค้าสามารถเก็บวิดีโอไว้ที่บ้านนานเท่าไรก็ได้ ดูซ้ำกี่รอบก็ได้ แต่ลูกค้าจะสามารถเช่าวิดีโอได้จำนวนจำกัดเท่านั้น (เช่น 3 เรื่องสำหรับค่าสมาชิก 10 ดอลลาร์ต่อเดือน) และจะเช่าเรื่องใหม่ได้ต่อเมื่อส่งวิดีโอเรื่องที่ดูแล้วกลับคืนไปยัง ไปรษณีย์

เบื้องหลังการจัดส่งวิดีโอของ Netflix
Netflix ยังมีบริการเสริมเพิ่มมูลค่าอีกหลายอย่าง เช่น ระบบการแนะนำวิดีโอโดยพิจารณาจากประวัติการเช่าวิดีโอของลูกค้าในอดีต โดยเทียบกับลูกค้าคนอื่นที่ใกล้เคียงกัน ทำให้แนะนำวิดีโอที่ลูกค้ามีโอกาสจะถูกใจมากขึ้น เป็นผลให้ลูกค้าชื่นชอบในบริการของ Netflix มากขึ้นไปอีก
Netflix สู่ยุคดิจิทัล
ในปี 2011 เวลาผ่านมาอีกสิบปีให้หลัง Blockbuster ล้มละลาย ในขณะที่ Netflix กำลังผงาดขึ้นมาเป็นดาวจรัสแสงแห่งยุคความแตกต่างของ Blockbuster และ Netflix ไม่ใช่รูปแบบการเช่าวิดีโอที่ต่างกัน (เพราะการเช่าวิดีโอหรือดีวีดีเป็นแผ่นๆ หดตัวจากการปฏิวัติดิจิทัลเหมือนกัน) แต่เป็นความสามารถในการ “ปรับตัว” ต่อโลกสมัยใหม่ที่กำลังมาถึงต่างหาก

หน้าจอเลือกวิดีโอของ Netflix
เมื่ออินเทอร์เน็ตแบบบรอดแบนด์เริ่มเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ การดาวน์โหลดภาพยนตร์ขนาดใหญ่ไม่ใช่เรื่องลำบากมากนัก Netflix ก็โดดเด่นขึ้นมาด้วยผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานง่าย บริการที่ดี และความสัมพันธ์ของ Netflix ต่อสตูดิโอภาพยนตร์รายใหญ่ ทำให้มีวิดีโอให้เช่าผ่านอินเทอร์เน็ตมาก และมีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทุกวันนี้ไม่ว่าผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์รุ่นใหม่ใดจะเปิดตัวในสหรัฐ อเมริกา ขอเพียงแค่มี “จอภาพ” ผลิตภัณฑ์แทบทุกชนิดก็จะต้องทำสัญญากับ Netflix เพื่อให้ดูภาพยนตร์ออนไลน์ได้ ไม่ว่าจะเป็น iPad ของแอปเปิล, Google TV ของกูเกิล, เครื่องเล่นเกม Wii, PS3 หรือ Xbox 360, ทีวีจากซัมซุงและแอลจี ต่างก็ต้องดู Netflix ได้กันทั้งหมด และนั่นหมายถึงรายได้ที่ไหลมาเทมาของ Netflix นั่นเอง
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ไฮเทคที่รองรับบริการดูหนังออนไลน์ของ Netflix
ผลประกอบการของ Netflix ก็ถือว่าดีเยี่ยม ไตรมาสล่าสุด Netflix มีรายรับ 746 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 46% จากไตรมาสแรกของปี 2010 ส่วนในต่างประเทศ Netflix มีสมาชิก 800,000 ราย เพิ่มจากเดิมอีก 290,000 รายในไตรมาสเดียว
สื่อเก่ารวมพลังสู้ สื่อใหม่เริ่มแข่งเดือด
ในขณะที่ Netflix เติบโตอย่างต่อเนื่อง บริษัทผู้ให้เช่าวิดีโอเก่าแก่อย่าง Blockbuster กลับต้องล้มละลาย เนื่องจากไม่สามารถปรับตัวเข้ากับโลกดิจิทัลที่ผู้บริโภคเลิกเดินทางไปเช่า วิดีโอที่ร้าน หันมาบริโภคเนื้อหาผ่านอินเทอร์เน็ตแทนความน่าสนใจคือบริการทีวีดาวเทียมของสหรัฐ DiSH Network เข้ามาประมูลซื้อกิจการ Blockbuster ไปในราคาถูก เนื่องจาก Blockbuster ยังมีมูลค่าสินทรัพย์อยู่มาก โดยเฉพาะแบรนด์ Blockbuster ที่อยู่ในใจผู้บริโภคเมื่อคิดถึงความบันเทิงภายในบ้าน และมีข่าวออกมาว่า DiSH Network อาจเปิดบริการวิดีโอออนไลน์แบบเดียวกับ Netflix โดยใช้แบรนด์ Blockbuster เข้าสู้
ในอีกสมรภูมิ ถึงแม้ว่า Netflix จะผงาดขึ้นมาเป็นหมายเลขหนึ่งของบริการวิดีโอออนไลน์ แต่ก็ใช่ว่าจะไร้คู่แข่งไปเสียทีเดียว
- เจ้าพ่อไอทีอย่างแอปเปิลซึ่งประสบความสำเร็จในโลกของเพลงออนไลน์ ก็หันมามองตลาดภาพยนตร์และทีวีตาเป็นมัน ที่ผ่านมาแอปเปิลเคยให้ซื้อ-เช่าหนังผ่าน iTunes Store ของตัวเองบ้างแล้ว และเคยมีผลิตภัณฑ์อย่าง Apple TV มาลองตลาดอยู่บ้าง
- เจ้าพ่อค้าปลีกออนไลน์อย่าง Amazon ก็ไม่น้อยหน้า เปิดบริการ Amazon Video Online เพื่อต่อยอดบริการอีคอมเมิร์ซของตัวเองเช่นกัน (แทนที่จะขายแผ่นหนัง ก็เปลี่ยนมาขายไฟล์หนังแทน โดยใช้หน้าร้านเดิมของ Amazon)
- เจ้าพ่ออิเล็กทรอนิกส์อย่างโซนี่ แม้จะมีบริการ Netflix บนเครื่องเล่นเกม PS3 ด้วย แต่โซนี่เองก็เป็นเจ้าของเนื้อหามากมาย (ทั้ง Sony Music และ Sony Picture) ล่าสุดเปิดบริการหนังเพลงออนไลน์ของตัวเองในชื่อ Qriocity แล้ว
- Hulu บริการรายการทีวีออนไลน์ที่ช่องสถานีในสหรัฐหลายแห่งลงขันกันสร้าง ก็ได้รับความนิยมอย่างสูงเช่นกัน ถึงแม้จะไม่ใช่คู่แข่งโดยตรงของ Netflix (Hulu เน้นรายการทีวีมากกว่าภาพยนตร์) แต่ก็มีรูปแบบธุรกิจที่คล้ายคลึงกันมาก และอาจต้องเผชิญหน้ากันได้ในอนาคตอันใกล้
- YouTube ของกูเกิล ถึงแม้จะเน้นวิดีโอที่ผู้ชมเป็นผู้ผลิตเอง แต่กูเกิลก็พยายามซื้อสิทธิ์ของเนื้อหาจากมืออาชีพ โดยเฉพาะสตูดิโอภาพยนตร์ต่างๆ มาฉายบน YouTube อยู่ตลอด และกูเกิลยังพัฒนาผลิตภัณฑ์ Google TV เพื่อตอบสนองแผนการนี้ด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น